Chulhu Gonfalon
Chapter 1: ฉันอยู่ไหนในโลก
Translator: keep_reading
ฉุยเซียงครางเสียงเล็กน้อยก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้น
ปวดหัวววว ปวดหัวโคตรรรรรร!
“แค่เมาหนักไปหน่อย ทำไมหัวใจของฉันมันรู้สึกแตกออกเป็นเสี่ยงเช่นนี้!” เขาคราง จากนั้นหมุนร่างตัวเองไปรอบๆเพื่อนั่งลง
เมื่อเขายกหัวขึ้นมองไปรอบๆ เขาเห็นเพียงแต่ท้องฟ้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่และทะเลสีน้ำเงินที่ไม่มีจุดจบ มีนกนางนวลสีขาวกำลังบินบนฟ้า ลมอ่อนๆ กลิ่นเกลือเค็มๆของทะเลพัดเข้ามา คลื่นทะเลกระเพื่อมเล็กน้อย
ฉากนี้มันสวยงามมาก
แต่...เรามานอนบนชายหาดได้ยังไง?
ฉุยเซียงเริ่มเรียกความทรงจำกลับมา
คืนก่อน เขาละเพื่อนของเขาได้เล่นเกมออนไลน์ด้วยกัน เขาได้อดทนอย่างมากเพื่อขึ้นสู่ความยากระดับสูงและได้อุปกรณ์ระดับท๊อปราวกับฝันไป จากนั้นเพราะทุกๆคนต้องการอุปกรณ์ชิ้นนั้นเหมือนกัน พวกเขาได้สูญเสียของในเกมทั้งหมดขณะที่ต่อสู้กันนั้น
มันทำให้อารมณ์เสียจริง! เขาโยนเม้าส์อย่างรุนแรง และเริ่มขี้เกียจที่จะเล่นต่อ จนดึงปลั๊กออกและปิดคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็วิ่งไปที่ร้านขายของชำเพื่อซื้อเบียร์ ขนมขบเคี้ยวและแก้วไวน์
แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นน่ะหรอ?
หลังจากนั้น...เขาก็จำอะไรไม่ได้
มันควรจะชัดเจนไม่ใช่หรอ? เขาก็ควรจะจำอะไรได้สักหน่อยหลังจากเมาสิ?
ถึงอย่างนั้น เขาพักในประเทศมาตลอด ไม่ต้องพูดถึงทะเลที่ไม่เคยไป ทะเลสาบรอบๆก็ไม่เคยไปในที่ที่เขาอาศัยอยู่ เขาเมาแค่เล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นเขาก็มาโผล่ในทะเล? มันไม่มีร่องรอยของพื้นดินรอบตัวเขาสักนิด
เดี๋ยวก่อน! ถ้าไม่มีพื้นดิน...ดังนั้นเขานั่งบนอะไรอยู่? บนทะเล?!
ฉุยเซียงเข้าใจตอนนี้อย่างกระทันหัน นี่มันไม่ตลกเหมือนในการ์ตูน เขาไม่ได้จมน้ำตายในทะเล แต่ลอยบนผิวทะเลแทน นี่ทำเอาเขาผ่อนคลายเล็กน้อย
ไม่ว่าอะไรจะเกิด เขาก็ไม่จมน้ำตายแน่ๆ ทุกๆอย่างไปได้สวยเพราะว่าเขาไม่รู้วิธีว่ายน้ำ
แต่ว่า ตอนนั้นเขาได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
แล้วขาของฉันไปไหน?! ร่างกายอีกหล่ะ?!
ปกติเมื่อคนก้มหัวลง เขาก็จะเห็นร่างกายตัวเองได้ทันที สมมติว่าเขาเป็นเช่นนั้น เขาก็ควรจะเห็นร่างกายตัวเองถ้าเขาทำได้ แต่ว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย
พูดอย่างตรงไปตรงมา มันไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย เขาเห็นแต่หมอกเงาจากร่างโปร่งแสงลางๆ ที่ดูเหมือนจะมีความเป็นมนุษย์เล็กนิดเดียว
ถึงอย่างนั้นภายใต้ร่างเขานี้ น้ำทะเลใสและเห็นปลามากมาย
แต่ เขามีอะไรจะทำกับตัวเองได้บ้างเนี่ย? แล้วขาไปไหน? ทำไมมีแต่ร่างเงาบนร่างกายนี้?
ฉุยเซียงเหวี่ยงแขนตัวเองไปรอบๆอย่าลืมตัวและตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นร่างกายโปร่งแสงเป็นเงา
เป็นไปได้ว่า โดยปกติ ครึ่งนึงของ...ร่างกายนี้จะเปลี่ยนเป็นแบบโปร่งแสง?
เป็นไปได้ว่าร่างโปร่งแสงนี้ โดยพื้นฐานแล้วมันไม่ใช่ร่างกายแต่ว่า...วิญญาณ?
“ก็ดี ตอนนี้ฉันรู้อยู่สองเรื่อง เรื่องแรกฉันอยู่ในทะเล เรื่องที่สองตอนนี้ฉันไม่มีร่างกาย บางทีฉันกำลังอยู่ในสภาวะจิตวิญญาณ”
ตอนนี้ เขาตะลึงมากกว่าที่ค้นพบว่าอาการปวดหัวนั้นหายไปในเวลาไม่นานหลังจากเขาตื่นขึ้นมา
งั้นนี่จึงสรุปได้ว่า เมื่อเขารู้ว่าปวดหัวขึ้นมาและหายไปหลังจากนั้นร่างกายก็กลายมาเป็นแบบนี้?
เรื่องแปลกคือกระทั่งที่เขาไม่มีร่างกาย เขายังคงได้ยิน กลิ่นความเค็มของทะเล โผล่หน้าไปเลียผิวทะเลและกระทั่งชิมน้ำทะเลได้
คิดอีกที ถ้าเขาไม่มีร่างกาย ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะจมน้ำตาย ในภาวะจิตวิญญาณนี้เขารู้สึกว่าไม่ต้องกังวลว่าจะหูหนวกและตาบอด ดังนั้นเหตุการณ์ตอนนี้ก็ไม่เลวซะทีเดียว
“ไม่มีข้อสงสัย ไม่แปลกใจทำไมถึงตลกที่บางคนพูดประโยคที่ว่า ‘ฉันมีข่าวสองข่าวมาบอกคุณ เรื่องนึงแย่และอีกเรื่องดี’ ”
ฉุยเซียงพูดกับตัวเอง ทันใดนั้นได้พบภัยพิบัติขนาดใหญ่เหมือนที่เขาจินตนาการไม่ถึงแบบนี้ เขาไม่มีความคิดว่าจะหวาดกลัวตัวเองแม้แต่น้อยแต่ยังใจเย็นภายใต้สภาพนี้
“อาจเป็นเพราะฉันไม่มีร่างกาย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีสิ่งต่างๆเช่น ไต ฮอร์โมนที่สร้างผลกระทบต่อความคิดละมั้ง?”
หลังจากคิดเข้าข้างตัวเอง จากนั้นเขาก็พยายามเคลื่อนไหวตัวเองเล็กน้อย
เขายืนขึ้น มองไปที่ผิวทะเลและสังเกตรอบๆ ความสูงของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ตากนั้นเขาได้นอนลงและสำรวจความสูงตัวเอง มีอะไรเปลี่ยนไปจริงๆ
“ก็ดี ตอนนี้ฉันแน่ใจได้ว่าจิตวิญญาณมีรูปทรงพิเศษ ไม่เหมือนที่ในความเชื่อปรัมปราว่าเป็นอากาศ หรือลูกบอล...ฉันจะได้รางวัลโนเบลแน่นอนด้วยการค้นพบครั้งนี้”
เขาพึมพำถึงตัวเอง จากนั้นพยายามเดินดูว่าร่างจิตวิญญาณสามารถเดินได้หรือไม่ได้ ถ้าเขาเดินไม่ได้ก็คงอนาถจริงๆ
โชคดี เขาเดินได้ตามปกติ วิ่งและกระโดดอย่างไม่มีปัญหา ถึงอย่างนั้นความเร็วก็ดูไม่ได้เร็วมากกว่าตอนยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยเขาไม่ต้องกังวลว่าจะเจอกับดักในทะเลอันไร้ที่สิ้นสุดนี้และอยู่เป็นผีอย่างโดดเดี่ยวขณะที่เขาเชื่อมโยงวิญญาณตัวเองตลอดชีวิต
“นี่มันโชคดีในความโชคร้ายชัดๆ!” ฉุยเซียงอุทาน เขาหยุดและเร่ิมคิดเรื่องที่จะทำอะไรต่อไป
ส่วนเรื่อง ‘เขากลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง’ เขาได้ยอมแพ้ที่จะตรวจสอบไปแล้ว
เหตุการณ์รูปแบบนี้เกินจินตนาการของเขา นี่มันไม่มีอะไรที่คนเล็กๆและคนธรรมดาจะเข้าใจความคิดได้ ถ้าเขาเสียเวลาในภาวะจิตวิญญาณที่นี่ เขาก็จะเป็นเหมือนนักวิชาการโบราณ ผู้ที่นำชีวิตทั้งหมดไปเชื่อมโยงระหว่างดวงดาวและชะตากรรมของมวลมนุษย์
ไอเดียดีแต่ว่าไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่
เรื่องแรกที่ฉุยเซียงคิดในหัวคือเข้าหาชายฝั่ง
เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หรือจะพูดได้ว่าเป็นวิญญาณมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์น้ำ
นี่ไม่ใช่พื้นที่ของเขา
ดังนั้นเขาต้องการจะหาชายฝั่งก่อน อันดับแรกก็คือออกจากทะเล
หลังจากออกจากทะเลได้เขาต้องการหาว่ามนุษย์อาศัยอยู่ตรงไหน ที่ไหนคือนรก
เขาไม่กล้าพูดว่าเขาจะยังอยู่บนโลก เขาไม่เชื่อว่าเขาจะยังเริ่มต้นศตวรรษใหม่ เขาสงสัยว่าเขาได้มาอีกจักรวาลหนึ่ง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ไหน
มันอาจจะดีกว่าถ้าเขากระโดดย้อนเวลากลับมายังยุคโบราณ วิญญาณเขาคงไม่ต้องมีแนวคิดของชีวิตและความตายและรออย่างช้าๆจนกว่าจะกลับมาในยุคที่ทันสมัย แต่ถ้าเขามาในดาวเคราะห์ประหลาดนั่นก็อาจจะแย่ยิ่งกว่าที่เขาอาจจะไม่ได้กลับไปชีวิตก่อนหน้านี้แล้ว
“ไม่สิ เรื่องแบบนั้นมันไม่สำคัญหรอก”
เขาวางความคิดลงเรื่องความจริงลงอย่างรวดเร็ว มันไม่สำคัญอีกต่อไปถ้าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นวิญญาณมายาหรือถ้าเขาสามารถกระโดดข้ามผ่านจักรวาลไปพื้นดาวเคราะห์สักที่หรือเวลาไหนๆ
เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือการเอาตัวรอด!
แม้จะมีเรื่องเล่าหลายรูปแบบในนิทานหรือตำนานหลายแห่ง วิญญาณไม่ใช่รูปแบบที่แข็งแรงและไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถทำลายได้ นิทานตะวันตกหลายเรื่องได้เล่าถึงกลุ่มของแสงอาทิตย์หรือลมกรรโชกแรงๆที่กระทบกับวิญญาณก็แตกเป็นเสี่ยงๆได้แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะกลัวความรู้สึกชั่วขณะนี้ของแสงอาทิตย์หรือลมทะเล หรือถ้าเขาประมาทวิญญาณตัวเองและอยู่ในภาวะป้องกันตัวเองไม่ได้ มันคงจะไม่ปลอดภัยแน่นอน!
พิเศษกว่านั้น ในไม่ช้าเขาได้ทราบอะไรบางอย่าง เขาเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาแล้ว
รูปแบบความหนาวนี้ไม่เชิงกับทนไม่ได้ มันเป็นแบบการเปียกและรู้สึกหนาวที่เหมือนอยู่ในหน้าหนาวหรือหน้าฝน มันมากกว่าความชื้น มันสร้างความรู้สึกไม่ชอบจากข้างใน
งั้นฉันควรจะทำอะไร?
ฉุยเซียงคิดอย่างลึกซึ้ง
วิธีที่ง่ายที่สุดตอนนี้คือหาเปลือกให้กับวิญญาณหรือว่ากายเนื้อ
แต่หลังจากค้นหาทุกที่อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขายังไม่สามารถหาสิ่งมีชีวิตเจอเลย
ความจริง การหาร่างเนื้อไม่ใช่วิธีที่ดีจริงๆ ทั้งที่เขาโตขึ้นในเมืองนี้ ฉุยเซียงไม่มีพื้นฐานด้านการว่ายน้ำและนอกจากนั้นการหากายเนื้อในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นี้ เขาอาจจะตายไปครึ่งนึงแล้ว
แต่หลังจากพิจารณา อย่างน้อยๆเขาก็ต้องหาเปลือกเพื่อไว้หลบซ่อน
เขากำลังสงสัย มองไปรอบตัวทุกๆทิศทาง
ในระยะสายตาที่เห็นได้ชัด เขาไม่สามารถค้นหาของแข็งใดๆได้ที่จะใช้ซ่อนตัว
เขาพยายามที่จะเข้าไปในใต้ทะเลเพื่อค้นหา
ไม่ช้าเขาได้กลับมาที่ทะเล ความคิดหนึ่งเล่นผ่านจิตใจเขา ในขณะนี้เมื่อเขาตื่นขึ้น ปวดหัว นั่นหมายถึงเป็นไปได้ว่าเขายังมีร่างกาย มันแค่หลังจากตื่นขึ้นโดยเหตุผลอะไรไม่รู้ ร่างกายได้จมลงไปในทะเล และวิญญาณได้ลอยขึ้นสู่ผิวทะเล
นี่หมายความว่าถ้าฉันกลับไปที่ทะเล ฉันอาจจะมีโอกาสหาร่างกายของตัวเองกลับ?
หลังครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว เขาเริ่มกระตุ้นความรู้สึกตัวเองอีกครั้งและพยายามลงไปใต้ทะเลลึก
ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาคอตกเมื่อพบว่าไม่มีทางที่จะลงไปในใต้ทะเลลึกได้ เมื่อเขาดำลงทะเล เขาตระหนักได้ว่าทะเลไม่ได้ลึกกว่าสองเมตร
ถึงอย่างนั้นมันก็ยังโอเค สำหรับวิญญาณแล้วเขาคงไม่ต้องจมน้ำ การอยู่ในน้ำไม่ใช่ปัญหา
โอ้โห เวลานี้ เขาไม่มีความหวังที่จะได้ร่างกายในทะเลกลับมา….
ก็ดี ตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าจะเป็นร่างเขาอยู่ในทะเลจริงๆหรือเปล่าจึงยังไม่ต้องหดหู่ ความจำเป็นที่สุดตอนนี้คือการแก้ไขปัญหาเรื่องความปลอดภัย
อาจจะเป็นความเข้าใจผิดหรืออาจจะปลอดภัยก็ได้ถ้าอยู่ในน้ำ การอยู่ในน้ำส่งให้เขามีความรู้สึกว่าความปลอดภัยมันลึกลับ เขาเหมือนคนเปลือยกายที่มีแต่ชั้นบางๆคลุมอยู่
ชั้นบางๆไม่ได้หนาหรืออบอุ่น แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องการตอบว่าเขาอ้วนเพื่อบรรเทาความหนาว
“ในนิทาน มีสัตว์ประหลาดขนาดเท่าภูเขาและอสูรน้ำ การอยู่ในน้ำบางทีมันปลอดภัยแล้วหรอ?” ฉุยเซียงพึมพำกับตัวเองจากนั้นตัดสินใจอยู่ในน้ำยกเว้นว่าเขาจะมองเห็นพื้นดิน ปกติเขาไม่อาจจะออกจากน้ำ
“การกิน และ ‘เสื้อผ้า’ ปัญหาชั่วคราวได้แก้ไขแล้ว การขนส่ง ฉันสามารถจัดการเส้นทางรถเมลล์ จากนั้นก็เรื่องกินและการอาศัยอยู่”
ฉุยเซียงพึมพำพลันมองไปยังสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ
เขาได้เห็นปลาส่วนหนึ่งแต่มันอยู่ไกลเกินไป มีแค่แมงกระพรุนจำนวนเล็กน้อยที่อยู่ใกล้ๆเขา
แมงกระพรุน
ร่างเขาโปร่งแสงสีขาว หนวดทั้งหมดเรียวยาว นี่ดูเหมือนกับแมงกระพรุนตามแบบเป๊ะๆ
“จากความทรงจำของฉัน ส่วนใหญ่ฉันสามารถกินแมงกระพรุนได้ แม้แต่มันจะมีพิษเล็กน้อยบนหนวดของมัน รูปแบบพิษนี้ไม่มีผลกระทบต่อวิญญาณอยู่แล้ว” ฉุยเซียงพูดกับตัวเอง “แต่วิญญาณดูไม่เหมือนว่าสามารถกินอะไรก็ตามได้...”
แต่เขายังรู้สึกว่าเหมือนต้องการจะกินอะไรสักอย่าง
“กิน” เมื่อความคิดนี้ฉุดขึ้นมา มันก็กลายเป็นความเข้มข้นขึ้นทันที เขารู้สึกหิวอย่างรวดเร็ว
เขาเอื้อมมืออกอย่างไม่มีสติเพื่อจับแมงกระพรุนใกล้ที่สุดเข้ามา
มือโปร่งแสงได้จับแมงกระพรุนอย่างสะบาย แน่นอนว่าเขาวางมือตัวเองลงในร่างแมงกระพรุนราวกับกำลังจับอะไรบางอย่าง
ได้แล้ว ในที่สุดตอนนี้ฉันก็สามารถกินได้!
จากนั้นเขานำเอาแมงกระพรุนขึ้นมา หรือในอีกประโยคนึง เอาวางที่จับไว้เข้าใส่ปาก
เมื่อดูใกล้ๆ สิ่งนั้นเหมือนจะเป็นจุดแสงที่ดูอ่อนแอและกระจ้อยร่อย
ไม่เหมือนกับที่จินตนาการเกี่ยวกับรูปทรงโปร่งแสงของแมงกระพรุนเลย
เมื่อเขานำมันเข้าไปใกล้ปาก เขาตรวจดูอย่างระมัดระวังเป็นเวลานานก่อนที่จะปักใจว่ามันเป็นแค่แสงจุดเล็กๆ
เขาให้ความสนใจกับร่างแมงกระพรุนที่ไม่มีแม้แต่หนวดสักเส้น
เหมือนฉันจับอะไรบางอย่างที่ล่องหนอยู่
มันต้องเป็น...วิญญาณแมงกะพรุน?
เมื่อความหิวคือการเติมเต็มความแข็งแกร่งในท้อง เขากินมันหมดด้วยคำเดียว
มันมากไป แค่นิดเดียว แต่มันก็เติมเต็มท้องของเขา
เขาจ้องมองแมงกระพรุนตัวนั้นและค้นพบว่ามันได้สูญเสียพลังไปแล้ว กำลังลอยขึ้นมาบนผิวทะเล
“จริงด้วย ฉันกินวิญญาณมันไปแล้ว!”
หลังจากคิดสักพัก เขาได้จับแมงกระพรุนตัวอื่นๆอีก
จากนั้นเขายังรู้สึกหิว ฉุยเซียงกินแมงกระพรุนสำเร็จ
“เอาหล่ะตอนนี้ ฉันขอภูมิใจจะนำเสนอว่าฉันไม่ได้เป็นคนแล้ว คนที่อยู่จุดล่างสุดของห่วงโซ่อาหารแต่อันตรายกว่านักล่าในทะเล หรือจะพูดได้ว่า ผีน้ำาาาาา” (Water ghost?)
หลังจากเรียนรู้ศพแมงกระพรุนที่ตายแล้ว ฉุยเซียงได้ระเบิดเสียงหัวเราะหลังจากที่จับปลาไกลๆนั่นได้
เขาไม่หิวแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น